แนวทางการออกแบบและเลือกใช้ระบบปรับอากาศแบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

Last updated: 29 มิ.ย. 2568  |  143 จำนวนผู้เข้าชม  | 

แนวทางการออกแบบและเลือกใช้ระบบปรับอากาศแบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

แนวทางการออกแบบและเลือกใช้ระบบปรับอากาศแบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ดร.ศุภชัย  ปัญญาวีร์  อ. ปฏิญญา  จีระพรมงคล  อ. อภิวัฒน์  ปิดตะ 

บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ คอนเซอร์เวชั่น เทคโนโลยี่ จำกัด

ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2568

                                                                                                                                                               

บทนำ

ระบบปรับอากาศมีบทบาทสำคัญในอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และอาคารขนาดใหญ่ ระบบที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันคือ VRV (Variable Refrigerant Volume) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า VRF (Variable Refrigerant Flow)

VRV เป็นระบบปรับอากาศที่สามารถควบคุมปริมาณสารทำความเย็นตามโหลดความร้อนที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละโซนของอาคาร ซึ่งช่วยให้ ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และให้ความสะดวกสบายมากขึ้น

  • ระบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) คืออะไร?

      VRV หรือ VRF เป็นระบบปรับอากาศที่สามารถ ปรับปริมาณสารทำความเย็นให้เหมาะสมกับภาระความร้อนในแต่ละโซนของอาคาร โดยใช้ คอมเพรสเซอร์แบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter Compressor) ที่สามารถเปลี่ยนรอบการทำงานตามความต้องการของแต่ละพื้นที่


  • คุณสมบัติหลักของระบบ VRV
  • ·ควบคุมอุณหภูมิในแต่ละโซนได้อิสระ
  • ประหยัดพลังงานมากกว่าระบบปรับอากาศทั่วไป
  • ลดต้นทุนการเดินระบบและบำรุงรักษา
  • รองรับการติดตั้งในอาคารที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่
  • ทำงานเงียบ ลดเสียงรบกวน

  • หลักการทำงานของระบบ VRV
      1. คอมเพรสเซอร์แบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter Compressor)
             o  ปรับความเร็วรอบคอมเพรสเซอร์ตามโหลดความร้อนที่เปลี่ยนแปลง
             o  ทำให้ระบบ ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

      2. การกระจายสารทำความเย็นแบบอัจฉริยะ
             o  ระบบ VRV ใช้วาล์วควบคุมสารทำความเย็น (Electronic Expansion Valve - EEV)
             o  ควบคุมการไหลของสารทำความเย็นในแต่ละโซนแยกจากกัน

      3. ระบบทำงานแบบหลายโซน (Multi-Zone Cooling)
             o  หน่วยภายในแต่ละโซนสามารถตั้งอุณหภูมิที่แตกต่างกันได้
             o  เหมาะสำหรับอาคารที่มีพื้นที่ใช้งานหลากหลาย เช่น โรงแรม สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า

      4. รองรับทั้งระบบทำความเย็นและทำความร้อน (Heat Recovery)
             o  ระบบบางรุ่นสามารถให้ ทั้งความเย็นและความร้อนในเวลาเดียวกัน
             o  เหมาะสำหรับอาคารที่มีโซนที่ต้องการอุณหภูมิที่แตกต่างกัน

  • แนวทางการออกแบบระบบ VRV

      1. วิเคราะห์ภาระความร้อนของอาคาร (Load Calculation)
         ขั้นตอนสำคัญในการออกแบบระบบ VRV
             o  คำนวณภาระความร้อน (Cooling Load) ของแต่ละโซนในอาคาร
             o  พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดห้อง จำนวนคน การใช้ไฟฟ้า และการรับแสงแดด
             o  ใช้ Software วิเคราะห์ภาระความร้อน เช่น Carrier HAP, Trane TRACE 700

      2. เลือกขนาดและประเภทของคอมเพรสเซอร์
         ประเภทของระบบ VRV
             o  VRV Heat Pump – ให้ความเย็นหรือความร้อนทั้งระบบ (ใช้ในอาคารสำนักงาน โรงแรม ฯลฯ)
             o  VRV Heat Recovery – ให้ความเย็นและความร้อนพร้อมกัน (เหมาะสำหรับอาคารที่มีหลายโซน เช่น โรงพยาบาล)
             o  VRV Water-Cooled – ใช้น้ำหล่อเย็นแทนการใช้พัดลมระบายความร้อน (เหมาะสำหรับตึกสูง)

          เลือกคอมเพรสเซอร์ที่เหมาะสม
             o  พิจารณา EER (Energy Efficiency Ratio) และ SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เพื่อเลือกเครื่องที่ประหยัดพลังงาน
             o  เลือกหน่วยภายนอกที่สามารถรองรับจำนวนหน่วยภายในที่ต้องการ

      3. ออกแบบการวางท่อสารทำความเย็น (Refrigerant Piping Design)
         แนวทางการวางท่อสารทำความเย็นในระบบ VRV
            o  เลือกขนาดท่อให้เหมาะสมตามระยะทางและโหลดความเย็น
            o  ติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน
            o  ออกแบบระบบ Branch Selector สำหรับระบบ Heat Recovery

      4. เลือกหน่วยภายใน (Indoor Units) ให้เหมาะสม
         ประเภทของหน่วยภายในในระบบ VRV
            o  Cassette Type – เหมาะสำหรับสำนักงาน ร้านค้า โรงแรม
            o  Ducted Type – เหมาะสำหรับห้องประชุม โรงแรม
            o  Wall-Mounted Type – เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัย

        เลือกหน่วยภายในโดยพิจารณา
            o  ขนาดพื้นที่ใช้งาน และดีไซน์ของอาคาร
            o  ระดับเสียงรบกวนที่เหมาะสม

      5. พิจารณาระบบควบคุมอัจฉริยะ
         ระบบควบคุมสำหรับ VRV
            o  BMS (Building Management System) – ควบคุมผ่านเครือข่ายอาคาร
            o  Smart Control via Mobile App – ควบคุมผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ
            o  Sensor-Based Control – ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิและการใช้งาน

  • ข้อดีของระบบ VRV

     1. ประหยัดพลังงานมากกว่าระบบปรับอากาศทั่วไป
            o  ลดการใช้พลังงานได้ถึง 30-40% เมื่อเทียบกับระบบ Chiller หรือ Split Type

     2. ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ
            o  ระบบ VRV สามารถ ควบคุมอุณหภูมิในแต่ละห้องแยกจากกันได้

     3. ติดตั้งง่าย และยืดหยุ่น
            o  ระบบ VRV ใช้ท่อสารทำความเย็นแทนท่อน้ำเย็น ทำให้ติดตั้งง่ายกว่า Chiller

     4. ลดเสียงรบกวน
            o  คอมเพรสเซอร์ VRV ทำงานเงียบกว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไป

  • ข้อเสียของระบบ VRV

     1. ต้นทุนเริ่มต้นสูง
            o  ระบบ VRV มีราคาสูงกว่าระบบปรับอากาศทั่วไป

     2. ค่าบำรุงรักษาสูง
            o  ระบบต้องมีการตรวจเช็คและบำรุงรักษาเป็นระยะ

     3. ต้องใช้ช่างที่มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้ง
            o  การติดตั้งระบบ VRV ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์

  • สรุป

      ระบบปรับอากาศแบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับอาคารที่ต้องการความยืดหยุ่น ประหยัดพลังงาน และควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ

  • การออกแบบระบบ VRV ควรพิจารณา
  • วิเคราะห์ภาระความร้อน
  • เลือกประเภท VRV ให้เหมาะสม
  • ออกแบบระบบท่อและเลือกหน่วยภายในอย่างเหมาะสม
  • ใช้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ


อ่านต่อได้ที่นี่

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้