Last updated: 1 ก.ค. 2568 | 5 จำนวนผู้เข้าชม |
บทความ: มาตรฐานการตรวจวัดและวิเคราะห์สมรรถนะเครื่องทำน้ำเย็น (Chiller Performance Testing Standards)
ดร.ศุภชัย ปัญญาวีร์ อ. ปฏิญญา จีระพรมงคล อ. อภิวัฒน์ ปิดตะ
บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ คอนเซอร์เวชั่น เทคโนโลยี่ จำกัด
ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2568
เครื่องทำน้ำเย็น (Chiller) เป็นอุปกรณ์สำคัญในระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ในอาคารสำนักงาน โรงแรม โรงงาน และสถานพยาบาล สมรรถนะของเครื่องทำน้ำเย็นมีผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานและประสิทธิภาพการทำงาน การตรวจวัดและวิเคราะห์สมรรถนะของเครื่องทำน้ำเย็นตามมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากลจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ความสำคัญของการตรวจวัดและวิเคราะห์สมรรถนะเครื่องทำน้ำเย็น
1. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน:
การตรวจวัดสมรรถนะช่วยให้ทราบถึงประสิทธิภาพของเครื่องทำน้ำเย็น และระบุจุดที่สามารถปรับปรุงได้
2. ลดต้นทุนพลังงาน:
เครื่องทำน้ำเย็นที่มีสมรรถนะต่ำใช้พลังงานมากขึ้น ซึ่งเพิ่มค่าไฟฟ้าของอาคาร
3. ยืดอายุการใช้งานของเครื่อง:
การตรวจสอบสมรรถนะช่วยป้องกันการสึกหรอและความเสียหายของอุปกรณ์
4. ปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมาย:
หลายประเทศกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (Minimum Energy Performance Standards - MEPS) สำหรับเครื่องทำน้ำเย็น
มาตรฐานการตรวจวัดสมรรถนะเครื่องทำน้ำเย็น
1. มาตรฐาน ASHRAE 90.1
o ค่าประสิทธิภาพพลังงานแบบเต็มโหลด (Full Load Efficiency - COP)
o ค่าประสิทธิภาพพลังงานในสภาวะโหลดบางส่วน (Integrated Part Load Value - IPLV)
2. มาตรฐาน AHRI 550/590
o การวัดอัตราการไหลของน้ำและสารทำความเย็น
o อุณหภูมิของน้ำเข้าและออกจากเครื่อง
3. มาตรฐาน ISO 5151 และ ISO 16358
o ค่าสัมประสิทธิ์สมรรถนะ (COP)
o ค่าประสิทธิภาพตามฤดูกาล (Seasonal Energy Efficiency Ratio - SEER)
4. มาตรฐาน ARI 1230
o ประสิทธิภาพพลังงานในสภาวะใช้งานจริง
ขั้นตอนการตรวจวัดและวิเคราะห์สมรรถนะเครื่องทำน้ำเย็น
1. การเก็บข้อมูลพื้นฐาน
o เก็บข้อมูลเครื่องทำน้ำเย็น เช่น รุ่น ความจุ และข้อมูลการใช้งาน
o ระบุเงื่อนไขการทำงานปัจจุบัน เช่น อุณหภูมิของน้ำเข้าและออก
2. การตรวจวัดค่าพารามิเตอร์สำคัญ
o อุณหภูมิ: วัดอุณหภูมิของน้ำและสารทำความเย็นทั้งขาเข้าและขาออก
o อัตราการไหลของน้ำ: ใช้ Flow Meter วัดอัตราการไหลของน้ำในระบบ
o การใช้พลังงาน: ใช้ Power Meter วัดการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่อง
3. การคำนวณสมรรถนะ
o ค่าประสิทธิภาพพลังงาน (COP): COP=Cooling Capacity (kW)Power Input (kW)COP = \frac{\text{Cooling Capacity (kW)}}{\text{Power Input (kW)}}COP=Power Input (kW)Cooling Capacity (kW)
o ค่าประสิทธิภาพพลังงานในโหลดบางส่วน (IPLV):
คำนวณจากการทำงานในสภาวะโหลดต่าง ๆ
4. การวิเคราะห์และเปรียบเทียบ
o เปรียบเทียบค่าที่วัดได้กับค่ามาตรฐานหรือค่าที่กำหนดโดยผู้ผลิต
o วิเคราะห์ความเบี่ยงเบนและระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
5. การปรับปรุงและแนะนำ
o เสนอแนวทางการปรับปรุง เช่น การทำความสะอาดคอนเดนเซอร์หรือการตรวจสอบการรั่วของสารทำความเย็น
ตัวอย่างการปรับปรุงสมรรถนะเครื่องทำน้ำเย็น
กรณีศึกษา:
ประโยชน์ของการตรวจวัดและวิเคราะห์สมรรถนะเครื่องทำน้ำเย็น
1. ประหยัดพลังงาน:
o ลดการใช้พลังงานโดยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน
2. ลดต้นทุนการดำเนินงาน:
o ลดค่าไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
3. เพิ่มอายุการใช้งานของเครื่อง:
o การตรวจสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสียหายของเครื่อง
4. ส่งเสริมความยั่งยืน:
o ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานที่ลดลง
5. ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน:
o สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านพลังงานในระดับท้องถิ่นและสากล
สรุป
การตรวจวัดและวิเคราะห์สมรรถนะเครื่องทำน้ำเย็นตามมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากล เช่น ASHRAE, AHRI และ ISO มีความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดการใช้พลังงาน และลดต้นทุนการดำเนินงาน การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว และสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
26 มิ.ย. 2568