Last updated: 26 มิ.ย. 2568 | 9 จำนวนผู้เข้าชม |
บทความ: การระบายอากาศในห้องทำงานมีผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานอย่างไร?
ดร.ศุภชัย ปัญญาวีร์ อ. กิตติพงษ์ กุลมาตย์ อ.มนูญ รุ่งเรือง
บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ คอนเซอร์เวชั่น เทคโนโลยี่ จำกัด
ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2568
การระบายอากาศในห้องทำงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ห้องทำงานที่มีการระบายอากาศที่ไม่เหมาะสมสามารถก่อให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มลพิษในอากาศ และความอับชื้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความสามารถในการทำงาน ในทางกลับกัน ห้องทำงานที่มีระบบระบายอากาศที่ดีสามารถเพิ่มความสดชื่น ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้
ผลกระทบของการระบายอากาศที่ไม่เหมาะสมในห้องทำงาน
1. ผลกระทบต่อสุขภาพ
o การสะสมของ CO2
การหายใจของพนักงานในพื้นที่ปิดทำให้ CO2 สะสมในปริมาณสูง ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ และสมาธิลดลง
o มลพิษในอากาศ
สารเคมีระเหย (VOCs) จากเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน รวมถึงฝุ่นละออง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ
o การแพร่กระจายของเชื้อโรค
ระบบระบายอากาศที่ไม่เหมาะสมเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อโรค เช่น ไวรัส และแบคทีเรีย
2. ผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
o สมาธิลดลง
การสะสมของ CO2 และการขาดอากาศบริสุทธิ์ลดความสามารถในการจดจ่อกับงาน
o ประสิทธิภาพการตัดสินใจต่ำลง
อากาศที่ไม่สดชื่นส่งผลต่อการทำงานของสมอง โดยเฉพาะกระบวนการคิดเชิงวิเคราะห์
o อัตราการลางานเพิ่มขึ้น
พนักงานที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมมีแนวโน้มเจ็บป่วยและลางานบ่อยขึ้น
ประโยชน์ของระบบระบายอากาศที่ดีในห้องทำงาน
1. ส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน
o ลดปริมาณ CO2 และสารก่อมลพิษในอากาศ
o ลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจและอาการภูมิแพ้
2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
o อากาศบริสุทธิ์ช่วยเพิ่มสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ และประสิทธิภาพการทำงาน
o ลดความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่อับชื้น
3. ส่งเสริมสุขภาพจิต
o การระบายอากาศที่ดีช่วยเพิ่มความสดชื่นในพื้นที่ทำงาน
o ลดความเครียดและความวิตกกังวลของพนักงาน
4. เพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน
o พนักงานที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่สะอาดและอากาศบริสุทธิ์มีความพึงพอใจสูงกว่า
วิธีการปรับปรุงระบบระบายอากาศในห้องทำงาน
1. การระบายอากาศธรรมชาติ
o เปิดหน้าต่างหรือประตูเพื่อให้อากาศถ่ายเท
o ใช้พัดลมดูดอากาศเพื่อนำอากาศเสียออกและนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามา
2. การติดตั้งระบบระบายอากาศเชิงกล (Mechanical Ventilation)
o ติดตั้งระบบระบายอากาศแบบ HRV (Heat Recovery Ventilation) หรือ ERV (Energy Recovery Ventilation)
o ใช้ระบบปรับอากาศที่มีการกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
3. การใช้เครื่องฟอกอากาศ
o เลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA เพื่อกำจัดฝุ่น ละอองเกสร และเชื้อโรค
o ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของพนักงานสูง
4. การควบคุมความชื้นในอากาศ
o ใช้เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) เพื่อควบคุมความชื้นในระดับ 40-60%
o ป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับในห้อง
5. การตรวจสอบคุณภาพอากาศในอาคาร
o ใช้อุปกรณ์ตรวจวัด CO2 และสาร VOCs ในอากาศ
o ประเมินและปรับปรุงระบบระบายอากาศตามความจำเป็น
ตัวอย่างผลลัพธ์ที่ดีจากการปรับปรุงระบบระบายอากาศในห้องทำงาน
กรณีศึกษา
1. อาคารสำนักงานในเมืองใหญ่
o หลังจากติดตั้งระบบ ERV ลดระดับ CO2 ในอากาศลง 50%
o พนักงานรายงานว่าประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นกว่า 30%
2. บริษัทขนาดกลางที่ใช้เครื่องฟอกอากาศ
o ลดอัตราการลาป่วยของพนักงานจากอาการภูมิแพ้ลงกว่า 40%
o เพิ่มความพึงพอใจในที่ทำงาน
สรุป
ระบบระบายอากาศในห้องทำงาน มีผลโดยตรงต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงาน การมีอากาศบริสุทธิ์และการถ่ายเทอากาศที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพของพนักงาน อีกทั้งยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานอย่างยั่งยืน การปรับปรุงระบบระบายอากาศจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับองค์กรที่ต้องการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของพนักงานในระยะยาว
26 มิ.ย. 2568