Indoor Environment Quality (IEQ) คุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคารเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

Last updated: 20 ม.ค. 2568  |  34 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Indoor Environment Quality (IEQ)  คุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคารเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

บทความ: Indoor Environment Quality (IEQ) – คุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคารเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

ดร.ศุภชัย ปัญญาวีร์, อ.กาญจนาวรรณ์ ปัญญาวีร์, อ.เกียรติศักดิ์ วงษ์ขันธ์, อ.อภิวัฒน์ ปิดตะ
บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ คอนเซอร์เวชั่น เทคโนโลยี่ จำกัด

ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567


 
  Indoor Environment Quality (IEQ) หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และประสิทธิภาพการทำงานของผู้ที่อยู่ภายในอาคาร ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายด้าน เช่น คุณภาพอากาศ แสงสว่าง อุณหภูมิ ความชื้น เสียง และการระบายอากาศ การสร้างสภาพแวดล้อมภายในที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งในอาคารที่ใช้ในการทำงานและการอยู่อาศัย เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาในอาคารมากถึง 90% ของชีวิตประจำวัน การมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพและการทำงานช่วยลดความเครียด เพิ่มพูนความสุข และยังสามารถช่วยลดการเจ็บป่วยได้อีกด้วย



องค์ประกอบหลักของ Indoor Environment Quality (IEQ)

   Green Building หมายถึง อาคารที่ออกแบบและก่อสร้างโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เน้นการอนุรักษ์พลังงาน ลดการใช้น้ำ และการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่เป็นพิษหรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาคารสีเขียวยังต้องคำนึงถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้อาคาร ไม่ว่าจะเป็นการจัดแสงธรรมชาติ การควบคุมคุณภาพอากาศ หรือการออกแบบพื้นที่ให้เอื้อต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน

แนวทางหลักของการพัฒนา Green Building
1. คุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality - IAQ)
    คุณภาพอากาศภายในอาคารเป็นส่วนที่สำคัญของ IEQ ซึ่งหมายถึงระดับของสารมลพิษต่างๆ ในอากาศที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฝุ่นละออง สารเคมีจากเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องปรับอากาศที่มีสารเคมีตกค้าง การรักษาคุณภาพอากาศให้บริสุทธิ์ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ การใช้ระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ การใช้วัสดุก่อสร้างที่ปลอดสารพิษ และการมีต้นไม้ภายในอาคารล้วนช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศได้ดี

2. แสงสว่างที่เหมาะสม (Lighting)
    แสงสว่างภายในอาคารส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์และประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้อาคาร แสงธรรมชาติช่วยเพิ่มความสุข ลดความเครียด และเพิ่มสมาธิในการทำงาน ในทางกลับกัน แสงสว่างที่ไม่เหมาะสมหรือแสงที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดความล้าของสายตา การจัดแสงสว่างภายในอาคารควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่างแสงธรรมชาติและแสงจากหลอดไฟ เช่น การใช้หน้าต่างบานใหญ่ การเลือกใช้ไฟ LED ที่ปรับความสว่างได้ และการจัดวางแสงเพื่อไม่ให้เกิดเงาบดบังบริเวณการทำงาน

3. อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม
    อุณหภูมิและความชื้นเป็นอีกองค์ประกอบที่มีผลต่อความสะดวกสบายและสุขภาพของผู้ที่อยู่ในอาคาร อุณหภูมิที่เหมาะสมช่วยให้ร่างกายรู้สึกสบายและทำให้ผู้ใช้อาคารสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความชื้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 50-60% ของความชื้นสัมพัทธ์ การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการไม่สบายตัว ลดปัญหาผิวแห้งและโรคทางเดินหายใจ รวมถึงการลดการแพร่กระจายของไวรัสและแบคทีเรียบางชนิด

4. การควบคุมเสียง (Acoustic Comfort)
    เสียงรบกวนในอาคารเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน เสียงที่ดังเกินไปอาจทำให้เสียสมาธิและมีผลต่อสุขภาพจิต การออกแบบอาคารที่ดีควรคำนึงถึงการลดเสียงรบกวนจากภายนอก เช่น การใช้วัสดุดูดซับเสียง การออกแบบแผงกั้นเสียง และการใช้ฉนวนกันเสียงในผนังและเพดาน การมีพื้นที่เงียบสงบภายในอาคารช่วยให้ผู้ใช้อาคารสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิและลดความเครียดได้

5. การควบคุมระบบระบายอากาศ
    ระบบระบายอากาศที่ดีช่วยให้มีการไหลเวียนของอากาศภายในอาคาร ลดการสะสมของมลพิษและสารเคมีในอากาศ เช่น ฝุ่น ควัน และกลิ่นต่างๆ ระบบการระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยปรับสมดุลของอากาศภายในอาคารและช่วยลดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น อาการปวดหัว อาการเหนื่อยล้า และโรคภูมิแพ้ การใช้ระบบ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning) ที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยในการควบคุมคุณภาพของอากาศได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของการปรับปรุง Indoor Environment Quality
    การปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคารส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพและการทำงานของผู้ใช้อาคาร การรักษาสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพสูงช่วยให้ผู้คนรู้สึกสบายและสามารถใช้ชีวิตหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคและลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาพยาบาล และยังเป็นการเพิ่มความยั่งยืนให้กับอาคารในระยะยาวอีกด้วย


แนวทางการพัฒนา Indoor Environment Quality
1. ใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีสารพิษ เพื่อป้องกันการปล่อยสารเคมีในอากาศ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณสารระเหยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศภายใน
2. การติดตั้งระบบควบคุมคุณภาพอากาศ ใช้ระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง และพิจารณาการระบายอากาศที่เหมาะสมเพื่อลดการสะสมของสารพิษและฝุ่นในอากาศ
3. เพิ่มการใช้แสงธรรมชาติ ออกแบบอาคารให้สามารถใช้แสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ โดยการติดตั้งหน้าต่างที่สามารถปรับแสงได้ และใช้วัสดุโปร่งแสงที่ช่วยลดการสะท้อนแสง
4. ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม ใช้ระบบปรับอากาศที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้อย่างแม่นยำ โดยใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจสอบระดับความชื้นและอุณหภูมิในห้องเพื่อให้ระบบสามารถปรับแต่งอัตโนมัติได้
5. ลดเสียงรบกวน ใช้เทคนิคการดูดซับเสียงและลดเสียงรบกวน เช่น พื้นที่ปูพรม ผนังฉนวนกันเสียง และการจัดแยกพื้นที่ที่มีเสียงดังจากพื้นที่ที่ต้องการความเงียบสงบ


สรุป
    Indoor Environment Quality (IEQ) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของผู้ที่อยู่ภายในอาคาร โดยการควบคุมองค์ประกอบหลักๆ เช่น คุณภาพอากาศ แสงสว่าง อุณหภูมิ ความชื้น และเสียง จะช่วยให้ผู้ใช้อาคารมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานหรือการใช้ชีวิต ด้วยการพัฒนาและปรับปรุง IEQ จะช่วยสร้างอาคารที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในระยะยาว

 

 
 
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้